VPA คืออะไร
ข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (VPA) เป็นองค์ประกอบสำคัญของแผนปฏิบัติการการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ของสหภาพยุโรปเพื่อจัดการปัญหาการค้าไม้ที่ไม่ถูกกฎหมาย
VPA เป็นข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีที่มีการเจราจาระหว่างสหภาพยุโรปและประเทศส่งออกไม้ที่อยู่นอกสหภาพยุโรป แม้แต่ละฝ่ายจะเข้าสู่ VPA โดยสมัครใจ แต่ข้อตกลงจะมีผลผูกพันทางกฎหมายเมื่อทั้งสองฝ่ายร่วมลงสัตยาบัน
กระบวนการ VPA มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้แน่ใจว่าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่นำเข้ามายังสหภาพยุโรปจากประเทศหุ้นส่วน ได้ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้ อันดับแรก ประเทศหุ้นส่วนต้องตัดสินใจว่า จะนำกรอบกฎหมายระดับชาติของตนส่วนใดมาใช้นิยามความถูกต้องตามกฎหมายตามวัตถุประสงค์ของ VPA อีกทั้งประเทศหุ้นส่วนจะต้อง (และมีการอธิบายไว้ในเนื้อหาและภาคผนวก VPA) มีระบบยืนยันการปฏิบัติตามกฎหมาย และการออกใบรับรอง FLEGT ให้กับผลิตภัณฑ์ที่ถูกกฎหมาย ส่วนใหญ่แล้วประเทศหุ้นส่วนจะพัฒนาจากระบบที่มีอยู่เดิมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นี้
ระบบการประกันความถูกต้องตามกฎหมายของไม้ของ VPA ต้องได้รับการตรวจสอบที่เป็นอิสระ เพื่อให้แน่ใจว่าระบบทำงานได้จริงตามที่ระบุไว้
ตามข้อกำหนดของกฎระเบียบการค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของสหภาพยุโรป (EU Timber Regulation) ผลิตภัณฑ์ที่มีใบรับรอง FLEGT สามารถเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรปได้โดยอัตโนมัติ ส่วนผลิตภัณฑ์ไม้ที่ไม่มีใบรับรอง FLEGT ผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานความถูกต้องตามกฎหมายของไม้ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้
ในขณะที่เขียนเนื้อหานี้ มี 6 ประเทศหุ้นส่วนที่ได้ลงนาม VPA กับสหภาพยุโรปแล้ว ได้แก่ คาเมรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง กานา อินโดนีเซีย ไลบีเรีย และสาธารณรัฐคองโก ปัจจุบันประเทศเหล่านี้กำลังพัฒนาระบบที่ได้ตกลงไว้ใน VPA
การเจรจายังดำเนินต่อไประหว่างสหภาพยุโรปและอีก 9 ประเทศ ได้แก่ โกตดิวัวร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก กาบอง กายอานา ฮอนดูรัส ลาว มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม และมีอีก 11 ประเทศในทวีปแอฟริกา เอเชีย และอเมริกากลางและใต้ ที่ได้แสดงความสนใจในการทำข้อตกลง VPA
VPA มีความพิเศษอย่างไร
VPA แตกต่างจากข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีทั่วไปในหลากหลายแนวทาง
ประการแรก แม้สหภาพยุโรปและรัฐบาลแห่งชาติจะเป็นผู้เจรจา VPA แต่เนื้อหาของข้อตกลงจะตัดสินกันในประเทศหุ้นส่วน ผ่านกระบวนการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ด้วยการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียจากภาครัฐบาล ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งหมายความว่า ผู้มีส่วนได้เสียของประเทศเป็นผู้ตัดสินว่าจะนิยามไม้ถูกกฎหมายตามกฎหมายในประเทศนั้นอย่างไร
ประการที่สอง ซึ่งไม่เหมือนกับข้อตกลงการค้าส่วนใหญ่ ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาสู่เป้าหมายเดียวกัน คือ การกำจัดการค้าไม้ที่ไม่ถูกกฎหมายและปรับปรุงธรรมาภิบาลป่าไม้ให้ดีขึ้น
ประการที่สาม VPA ได้รวมการปฏิรูปกฎหมายและธรรมาภิบาลไว้ในกระบวนการและเนื้อหาของ VPA เรื่องที่ปฏิรูปได้แก่เรื่องต่างๆ ที่ผู้มีส่วนได้เสียระบุว่าจำเป็นต่อความน่าเชื่อถือของ VPA ซึ่งหมายความว่า VPA สามารถปรับปรุงความโปร่งใส พันธะความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจให้ดีขึ้น
ดังนั้นแล้ว การผสมผสานพลังทางการค้าและการปฏิรูปธรรมาภิบาลอันเป็นเอกลักษณ์ของ VPA ประกอบกับการใช้แนวทางผู้มีส่วนได้เสียพหุภาคีในการเจรจาและลงมือปฏิบัติ จะสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายทั้งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ